นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยหลังตลาดหุ้นภาคเช้าปิดการซื้อขายว่า ภาวะหุ้นที่เกิดขึ้นเป็นผลจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับยุโรป และตลาดหุ้นไทยก็ลดลงไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะเป็นปัจจัยโกลบอล ไม่ได้เกิดจากในประเทศ
“ต้องยอมว่าที่ผ่านมาหุ้นไทยมีความผันผวนขึ้น/ลง 20-30 จุด เมื่อลงก็ทำให้อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งกับส่งออก การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็จะมีการกลับมา หากเทียบตั้งแต่ต้นปีหุ้นไทยในรูปของเงินบาทยังบวกอยู่ 3 % หากเทียบในรูปของค่าเงินสหรัฐยังบวก 9.6% และยังเชื่อว่าการที่ MSCI มีการเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนกับซาอุดิอาระเบียครั้งนี้จะส่งผลกระทบน้อย เมื่อเทียบกับตอนที่ MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา”
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติที่เป็นกองทุนระยะยาว Passive Investor ถ้าทุกอย่างมีการคลี่คลายหรือต้องปรับน้ำหนักการลงทุนตามพอร์ตของ MSCI ก็มีโอกาสที่จะกลับเข้ามาลงทุนในไทย แต่ถ้าเป็นนักลงทุนประเภทระยะสั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ดูได้ยาก
อย่างไรก็ดี มองว่าการที่ ตลท.ร่วมกับอุตสาหกรรมตลาดทุนร่วมจัดงานไทยแลนด์โฟกัสประจำปี 2019 นี้ โดยธีมที่มาอัพเดทให้นักลงทุนต่างชาติได้เห็นว่าประเทศไทยมีปัจจัยหรือสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะเข้ามาลงทุนได้อย่างไรบ้าง น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้กองทุนต่างประเทศมีข้อมูลในมือก่อนเพื่อเห็นภาพที่ชัดเจนว่า นโยบายปัจจุบันจะมีความต่อเนื่องทางด้านการลงทุนอะไรบ้างจากรัฐบาลชุดก่อน แต่นักลงทุนคงไม่ได้มีการกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยทันทีหลังมีงาน แต่เชื่อว่าการมีความเข้าใจในข้อมูลภาพใหญ่ของเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของไทยไว้ก่อน หากปัจจัยโกลบอลมีความคลี่คลาย ก็น่าจะเป็นโอกาสหนึ่งที่ต่างชาติจ้ะข้อมูลที่มีอยู่ในการกลับเข้ามาสนใจในการลงทุนหุ้นไทยได้
“ในวิกฤตหรือความเสี่ยงมักมีโอกาสเสมอ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนแต่ละคนจะสามารถยอมรับความเสี่ยงเพื่อรอรับความสามารถในการทำกำไรได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการลงทุนของแต่ละคน อีกทั้งไม่ได้มีหุ้นทุกเซ็กเตอร์ที่ปรับลงหมด แต่อย่างกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์/REITs มีการปรับขึ้นในแดนบวกอยู่กลุ่มเดียวจากที่มีทั้งหมด 28 กลุ่มธุรกิจ”นายภากรกล่าว
You must be logged in to post a comment.