HomeUncategorizedกองทุนรวมอิงดัชนี ใครอยากมีเงินเกษียณต้องดู | StockRadars

กองทุนรวมอิงดัชนี ใครอยากมีเงินเกษียณต้องดู | StockRadars

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้ามาศึกษาการลงทุนเป็นครั้งแรก มักจะเจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูเยอะแยะไปหมด ทั้งหุ้น กองทุน และอื่นๆอีกมากมายจนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี วันนี้ Radars Man จะขอแนะนำท่านผู้อ่านให้รู้จักกับ “กองทุนรวมอิงดัชนี” ซึ่งเป็นกองทุนที่เหมาะมากกับผู้เริ่มต้น เรามาดูกันดีกว่าว่าทำไม

เดิมพันแห่งทศวรรษ

มีครั้งนึงที่ปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เดิมพันกับ ผจก.เฮดจ์ฟันด์ คนหนึ่ง ว่า Index Fund(กองทุนอิงดัชนี) ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำๆ กับกองทุนที่บริหารโดยฟันด์เมเนเจอร์ค่าตัวแพงนั้น อะไรจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากัน

หลังจากวัดผลกันมา 10 ปีเต็ม ผลก็ปรากฏออกมา โดยกองทุนอิงดัชนี S&P 500 ที่ปู่เลือกมา ทำผลตอบแทนทบต้นได้ปีละ 7.1% ขณะที่กองทุนของฝ่ายผู้ท้าชิง ทำได้เพียงปีละ 2.2% เท่านั้น

ปู่ชนะไปแบบชิลๆ ซึ่ง Index Fund ก็เป็น 1 ในการลงทุนที่บัฟเฟตต์แนะนำให้ทุกคนควรลงทุนเอาไว้บ้าง เพื่อสะสมความมั่งคั่ง

กองทุนอิงดัชนี Index Fund คืออะไร

กองทุนอิงดัชนี คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินทั้งหมดของดัชนีนั้นๆ เพื่อพยายามทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง เช่น กองทุนอิงดัชนี SET50 ผู้จัดการกองทุนก็จะซื้อหุ้นทุกตัวใน SET50 เมื่อ SET50 สูงขึ้น มูลค่ากองทุนก็ขึ้นตาม แต่ถ้า SET50 ต่ำลง มูลค่ากองทุนก็ลงตามเช่นเดียวกัน

รู้จักกับกองทุนแบบ Active Fund และ Passive Fund

Active Fund เป็นกองทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนเพื่อ “เอาชนะตลาด” ซึ่งจะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนสูง เพื่อเน้นผลกำไรให้ได้มากที่สุด (แต่ความจริงอาจจะสูงหรือต่ำกว่าก็ได้) แต่กองทุนประเภทนี้มักจะมีค่าธรรมเนียมที่สูง

Passive Fund เป็นกองทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด เช่น กองทุนอิงดัชนี SET50 ก็จะพยายามทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ SET50 มากที่สุด กองทุนแบบนี้จะมีค่าธรรมเนียมต่ำเพราะผู้จัดการกองทุนไม่ต้องลงแรงมาก ไม่ต้องคิดเยอะ

ทำไมถึงควรลงทุนในกองทุนอิงดัชนี

1. เข้าใจง่าย โดยหลักการคือ ทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง สำหรับมือใหม่อาจจะเริ่มต้นจากองทุนอิงดัชนี SET50 หรือ บริษัทขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว มีความมั่งคงค่อนข้างสูง และบริษัทเหล่านี้มักจะเติบโตในระยะยาว
2. กระจายการลงทุน สมมติเรากระจายการลงทุนโดยซื้อหุ้นทุกตัวใน SET50 เราต้องใช้เงินอย่างน้อยหลายแสนบาท แต่ถ้าเราเลือกที่จะมาซื้อเป็นกองทุนอิงดัชนี SET50 แทน เราสามารถเริ่มต้นซื้อได้ด้วยเงินแค่ 1,000 บาทเท่านั้น แถมไม่ต้องคอยมาซื้อขายสับเปลี่ยนหุ้นเองอีกเพราะมีผู้จัดการกองทุนทำให้แทน
3. เริ่มต้นทีละน้อยได้ กองทุนอิงดัชนีมักจะเริ่มต้นซื้อที่ 1,000 บาทหรือบางกองทุนเริ่มต้นครั้งแรกแค่ 1 บาทเท่านั้น ทำให้คนมีเงินน้อยแต่อยากลงทุนสามารถซื้อมาเก็บสะสมได้โดยมาต้องรอเงินก้อน เหมาะมากสำหรับสะสมเพื่อเป็นเงินในยามเกษียณ
4. ค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะกองทุนอิงดัชนี ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องดูแลมากมายเหมือนกองทุนแบบ Active Fund ทำให้ค่าธรรมเนียมค่อนข้างน้อยกว่ากองทุนแบบอื่นๆ (แต่กองทุน LTF มักจะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าแม้จะกองทุนอิงดัชนีก็ตาม)
5. มีตัวเลือกหลากหลาย นอกจากกองทุนอิงดัชนี SET50 แล้วยังมีดัชนีอื่นๆให้เลือกอีก เช่น ลงทุนในดัชนีหุ้นจีน ลงทุนในดัชนีหุ้นอินเดีย ลงทุนในดัชนีหุ้นญี่ปุ่น

มีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสีย

มั่นคงแต่ช้า เนื่องจากกองทุนอิงดัชนีมักลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ มีความมั่นคง โอกาสล้มละลายต่ำ แต่ไม่ค่อยลงทุนในบริษัทขนาดเล็กหรือกลางทำให้โอกาสได้ผลตอบแทนสูงๆ ไม่มากนัก เรียกว่า ค่อยๆ โตแต่ได้นานๆ

ถ้าถูกใจอย่าคิดนาน

หากท่านผู้อ่านดูแล้วสนใจกองทุนอิงดัชนี ลองชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียดูแล้วคิดว่าน่าลงทุน ก็ลองหาดัชนีที่เราชอบและเข้าใจ เช่น SET50 แต่แนะนำว่าลองเปรียบเทียบดูหลายๆ เจ้าว่า อันไหนมีค่าธรรมเนียมต่ำและผลตอบแทนใช้ได้ตรงใจเราบ้าง หวังว่าบทความนี้จะช่วยท่านผู้อ่านที่กำลังลังเล ได้เริ่มลงทุนกันนะครับ