SCGD เร่งเครื่องแผนขยายตลาด ใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตหลักรองรับการส่งออกสู่ตลาดโลก พร้อมรุกตลาดใหม่ในออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และยุโรป ควบคู่การพัฒนาสินค้าพรีเมียมร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อยกระดับการแข่งขันและสร้างการเติบโตระยะยาวในตลาดต่างประเทศ
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) กล่าวว่า “เรามองเห็นศักยภาพการเติบโตและความสามารถการแข่งขันในระยะยาวของเวียดนาม ด้วยเศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโตต่อเนื่อง โครงสร้างประชากรในวัยทำงานที่เอื้อต่อการจ้างงาน และต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และยังเป็นประเทศแรกในอาเซียน ที่มีข้อตกลงทางภาษีศุลกากรของสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ระดับ 20% ทั้งนี้ บริษัทฯ มีฐานการผลิตที่สำคัญที่เวียดนาม ในเครือ PRIME GROUP ซึ่งเป็นผู้นำตลาดกระเบื้องอันดับ 1 ของเวียดนาม โดยครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 20% และมีแผนขยายสู่ภาคใต้ของประเทศ โดยอาศัยความได้เปรียบจากเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งและแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูง
ทั้งนี้ PRIME GROUP มียอดขาย Glazed Porcelain เพิ่มขึ้นกว่า 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตลาดไทยยังชะลอตัว ทั้งยัง ได้เปรียบด้านต้นทุนพลังงาน และค่าแรงของเวียดนามก็ต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องในพลังงานทางเลือก อาทิ ระบบ Solar และเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทอีกด้วย
เร่งขยายกำลังผลิต พัฒนาสินค้าพรีเมียม เดินเกมรุกส่งออกทั่วโลก
ปัจจุบันบริษัทฯ เดินเครื่องผลิต Glazed porcelain เต็มกำลัง และได้เริ่มขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมที่โรงงาน Pho Yen โดยระยะที่ 1 แล้วเสร็จกว่า 2.5 ล้านตารางเมตร และคาดว่าจะแล้วเสร็จระยะที่ 2 อีก 2.5 ล้านตารางเมตร ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ รวมถึงแผนพัฒนากระเบื้อง HVA และกระเบื้องขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และยุโรป ซึ่งสามารถใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนและภาษีเพื่อขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับซัพพลายเออร์ระดับแนวหน้าเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้ SCGD มีคุณภาพระดับโลก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์พรีเมียมด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ร่วมมือกับพันธมิตรจากยุโรป เพื่อแข่งขันกับสินค้าจากผู้เล่นระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแสวงหาโอกาสใน Merger and Partnership และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์โดยเฉพาะในเวียดนาม เพื่อขยายธุรกิจเซรามิกและสุขภัณฑ์ให้ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต
และยังเชื่อมั่นว่า เวียดนามจะเป็นฐานการผลิตหลักและการส่งออก เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันระดับโลก