SCB EIC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2025 และ 2026 จะขยายตัวเพียง 2.3% ลดลงจาก 2.8% ในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงของทิศทางดอกเบี้ย และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยแนวโน้มเหล่านี้ส่งผลต่อทั้งภาคการค้า การลงทุน และตลาดการเงินโลกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางหลักทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและเงินเฟ้อที่ยังไม่แน่นอน
ล่าสุด SCB EIC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 2.3% ในปี 2025 และ 2026 ลดลงจาก 2.8% ในปีที่ผ่านมา จากแรงกดดันของสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบต้นทุนภาคธุรกิจและเร่งเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ต่างประเทศที่อ่อนแอและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มเติม นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และความผันผวนในตลาดการเงินยังฉุดความเชื่อมั่น ส่งผลให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนชะลอการลงทุนและการบริโภค
โดยผลกระทบด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนจะรุนแรงและชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เป็นต้นไป หลังจากที่หลายประเทศได้เร่งผลิตและส่งออกก่อนได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ทั้งนี้ SCB EIC มองว่า การเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอาจยืดเยื้อไม่เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา ผนวกกับกระบวนการทางกฏหมายภายในของสหรัฐฯ ต่อประเด็นอำนาจของประธานาธิบดีในการใช้นโยบายภาษีนำเข้า จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้ายังอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์สหรัฐถดถอย กดดันตลาดการเงินโลกท่ามกลางความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความผันผวนในตลาดการเงินจากความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ลดลงจากหลายปัจจัยทั้งความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นมากจนนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงความพยายามในการแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น จากสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ปะทุขึ้น แม้ในระยะสั้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นไม่มากนัก จากอุปทานส่วนเกินที่ยังมีมาก แต่หากความขัดแย้งขยายวงและกระทบต่อแหล่งอุปทานในตะวันออกกลาง ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มความเปราะบางให้กับเศรษฐกิจโลกได้
ธนาคารกลางหลักทั่วโลกเริ่มทยอยลดดอกเบี้ย รับมือเงินเฟ้อและหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางหลักส่วนใหญ่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ในความเร็วที่ต่างกัน ตามทิศทางเงินเฟ้อเป็นสำคัญ โดย SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง (25 bps) ในช่วงปลายปีนี้ และลดดอกเบี้ยอีกเพียง 2 ครั้ง (ครั้งละ 25 bps) ในปี 2026 เนื่องจากยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงจากกำแพงภาษีและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1% ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) วัฏจักรการลดดอกเบี้ยใกล้สิ้นสุด โดยในปีนี้ได้ปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว 100 bps และมีแนวโน้มจะลดอีก 25 bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่ำลง