ในโลกของตลาดทุน “การซื้อหุ้นคืน” (Stock Repurchase) หรือ “การทำโครงการซื้อหุ้นคืน” เป็นเครื่องมือทางการเงินที่บริษัทจดทะเบียนสามารถใช้ได้ เพื่อบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงิน และสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องเทคนิค แต่จริง ๆ แล้วการซื้อหุ้นคืนส่งผลโดยตรงต่อราคาหุ้นในตลาด และเป็น “สัญญาณ” สำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
“ซื้อหุ้นคืน” คืออะไร?
การซื้อหุ้นคืน คือ การที่บริษัทจดทะเบียนใช้เงินของตัวเอง ไปซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองกลับคืนจากตลาดหลักทรัพย์
➡️ บริษัทอาจนำหุ้นที่ซื้อคืนไปเก็บไว้ ก็จะเรียกว่า หุ้นซื้อคืน (Treasury stock) แล้วขายออกตามเวลาที่กำหนด คือ ถืออย่างน้อย 6 เดือน และนานสุดไม่เกิน 3 ปี
➡️ หรือหากไม่นำออกมาขายในกระดาน บริษัทต้อง “ลดทุนจดทะเบียน” โดยการตัดหุ้นคืนที่ซื้อออกไปจากระบบ
ทำไมบริษัทถึงตัดสินใจซื้อหุ้นคืน?
1) เพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน
หากบริษัทมี “เงินสดในมือเยอะเกินไป” และยังไม่มีแผนลงทุนใหม่ในระยะสั้น การซื้อหุ้นคืนเป็นทางเลือกที่ดี ในการใช้เงินอย่างมีประโยชน์
2) เพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น (Earnings per Share – EPS)
เมื่อบริษัทซื้อหุ้นคืน “จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดจะลดลง” ส่งผลให้ EPS เพิ่มขึ้น (กำไรสุทธิต่อหุ้นมากขึ้น) ซึ่งมักจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นในตลาด
3) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
การซื้อหุ้นคืนอาจถูกตีความได้ว่า “ผู้บริหารเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท” จึงกล้าซื้อหุ้นกลับมา
4) เพื่อเป็นการพยุงราคาหุ้น
หากราคาหุ้นตกมากเกินไป และไม่สะท้อนมูลค่าพื้นฐานตามที่บริษัทประเมินไว้ ทางบริษัทอาจซื้อหุ้นคืนเพื่อรักษาระดับราคาไว้
แล้วการซื้อหุ้นคืนดีต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่?
➡️ ข้อดี
- ราคาหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น (จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น)
- EPS และอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น
- บ่งบอกถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัท
➡️ ข้อควรระวัง
- บริษัทต้องใช้ “เงินสดก้อนใหญ่” ซึ่งอาจทำให้มีเงินน้อยลงสำหรับการลงทุนอื่นในอนาคต
- หากซื้อหุ้นคืนในราคาที่แพงเกินไป อาจไม่คุ้มค่าต่อผู้ถือหุ้น
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพิ่มขึ้น
ดังนั้น การซื้อหุ้นคืนจึงเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้ง อาจเป็นมากกว่าการใช้เงินสดส่วนเกิน มันอาจกำลังสะท้อนถึงความมั่นใจของผู้บริหาร ให้ตลาดวิเคราะห์ต่อว่า หุ้นของบริษัทกำลังถูกประเมินมูลค่าต่ำเกินไปหรือไม่?