สรุปผลประกอบการปี 2566 ของธนาคารไทยเครดิต (CREDIT)
ผลประกอบการ:
กำไรสุทธิ 3,557 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 51.2% เมื่อเทียบกับปี 2565
รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 20.6%
เงินให้สินเชื่อเติบโต 18.8%
สินเชื่อธุรกิจ Micro SME, สินเชื่อ Nano และ Micro credit เพื่อคนค้าขาย และสินเชื่อบ้าน เติบโตอย่างโดดเด่น
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 8.2% ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ยของธนาคารที่เพิ่มขึ้นและมาตรการลดหย่อนค่าเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่สิ้นสุดลงในปี 2565
กำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในปี 2566 สูงขึ้นจาก 18.94% เป็น 22.31%
บริษัทมีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2567 อนุมัติจัดสรรกำไรปี 2566 เป็นทุนสำรองตามกฎหมาย 179,567,531 บาท โดยบริษัทมีเงินสำรองตามกฎหมาย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ 569,398,313 บาท
บริษัทงดจ่ายเงินปันผลปี 2566 เพื่อนำเงินไปขยายพอร์ตสินเชื่อ, ปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยกำไรคงเหลือจากการจัดสรรจะนำเข้าเป็นเงินกองทุนของธนาคาร
เป้าหมายในปี 2567:
ธนาคารตั้งเป้าหมายท้าทายในปี 2567 มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าขยายเงินให้สินเชื่ออย่างน้อย 10% รักษา NIM อยู่ในช่วง 8 – 8.2% ควบคุม Cost to Income Ratio ให้ไม่เกิน 36.0 – 37.0% รักษา NPL ให้อยู่ในช่วง 4 – 4.5% และสร้างผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) มากกว่า 20.0%
ธนาคารมุ่งมั่นบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ผ่านกลยุทธ์หลัก ดังนี้:
ขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ
บริหารจัดการต้นทุนและอัตราดอกเบี้ยอย่างชาญฉลาด
เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
รักษาคุณภาพสินเชื่อ
มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้า
CREDIT ติดสัญญาณ Radars อะไรบ้าง
All Sector = CREDIT เป็นหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ของหุ้นใน Sector นั้นๆ
Just IPO = CREDIT เป็นหุ้นที่พึ่งเข้าจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก โดยเปิดให้ซื้อขายในตลาด SET
ROE Above Avg = CREDIT เป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยของ Sector