บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลดำเนินงานประจำปี 2562/63 ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 2562 – 31 มี.ค. 2563 โดยบริษัทระบุรายได้รวม 42,203 ล้านบาท ส่วนใหญ่แล้วมาจากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน โดยในปีนี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีจากรายการที่เกิดขึ้นประจำ ที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,776 ล้านบาท เติบโต 47.1% จากปีก่อน รวมถึงต้นทุนจากการดำเนินงานลดลง 10,000 ล้านบาท (-24.4%) ส่งผลให้สรุปกำไรสุทธิ 8,162 ล้านบาท เติบโต 184.1% จากปีก่อน
โดยในปีนี้ ทางบริษัทได้มีการรับรู้รายได้จากการให้บริการติดตั้งงานระบบและจัดหารถไฟฟ้าขบวนใหม่ ภายใต้สัญญาสัมปทาน สำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้และเหนือ และมีรายได้ค่าก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง รวมจำนวน 25,200 ล้านบาท
รวมถึงมีรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง ที่เติบโต 64.8% เพิ่มขึ้น 1,476 ล้านบาทจากปีก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วมาจากการเปิดให้บริการโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้เต็มสายทั้ง 9 สถานีในเดือน ธ.ค. 2561 รวมถึงได้เปิดให้บริการ 5 สถานีแรกของส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ (จากสถานีหมอชิตถึงสถานีห้าแยกลาดพร้าว ในเดือน ส.ค. 2562 และถึงสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในเดือน ธ.ค. 2562) และรายได้ดังกล่าวนี้ ได้เพิ่มตามสัญญาของค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีเขียวเดิม
และปีนี้ก็เป็นอีกปีที่ VGI สร้างผลดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ สร้างสถิติรายได้และกำไรสูงที่สุด โดย VGI มีรายได้เพิ่มขึ้น 10.2% YoY จาก 5,204 ล้านบาท เป็น 5,735 ล้านบาท
โดยรายได้ในส่วนของธุรกิจสื่อโฆษณา ยังคงรวมผลดำเนินงานของ MACO และบริษัทย่อยของ MACO สำหรับงวด 10 เดือนตั้งแต่ เม.ย. 2562 – ม.ค. 2563 ในขณะที่ผลดำเนินงานดังกล่าว ได้รับการบันทึกแยกอยู่ภายใต้ “กำไรสำหรับปีจากการดำเนินงานที่ยกเลิก” ในงบการเงิน
ทั้งนี้ ทางบริษัทได้ระบุผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ว่าระบบขนส่งมวลชนได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2562 โดยจำนวนเที่ยวการเดินทางในระบบรถไฟฟ้าสายหลักปรับตัวลดลง โดยมีการปรับเวลาให้บริการให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่รัฐบาลประกาศห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) แต่ทางบริษัทยังคงเดินหน้าให้บริการรถไฟฟ้าตามปกติเช่นเดิม และได้มีการเพิ่มมาตรการดูแลเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ
ซึ่งในแง่ของผลการดำเนินงานนั้น ถือว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งยังเห็นพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญในการก่อสร้างของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู สีเหลือง และส่วนต่อขยายสายสีเขียว เนื่องจากการจราจรที่มีความคล่องตัวในช่วงปิดประเทศอีกด้วย
นั่นคือ ในด้านของจำนวนเที่ยวการเดินทางในระบบรถไฟฟ้าสายหลักได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ แต่มีความเสี่ยงและผลกระทบทางการเงินวงจำกัด เนื่องจากทางบริษัทได้มีการลงทุนจำนวน 1 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) ซึ่งลงทุนในรายได้ค่าโดยสารสุทธิจากรถไฟฟ้าสายหลัก
You must be logged in to post a comment.