ใครจะเชื่อว่ากลศึกสามก๊กจะสามารถมาเทียบเคียงกับการเดินหมากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ด้วย แต่ “ชัชวนันท์ สันธิเดช” นักลงทุนสาย VI เจ้าของกลยุทธ์สามก๊ก ซึ่งเป็น Speaker คนที่ 4 งาน StockRadars Day 2019 สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี อาจเป็นเพราะเขาเสมือนเป็นสองคนในร่างเดียว ทั้งเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของสามก๊กชนิดที่อ่านเรื่องนี้แล้ว 20 รอบ และก็ยังมีหัวใจของการลงทุนในตลาดหุ้นสาย VI พันธ์แท้อีกด้วย จนสามารถยกตัวอย่างและแปลสารเพื่อเทียบเคียงบุคลิก ความคิด และกลศึกที่สำคัญของแต่ละตัวละครออกมาให้เราได้เข้าใจง่าย พร้อมเห็นภาพอย่างชัดเจน ในหัวข้อ “เดินหมากลงทุน ด้วยกลยุทธ์สามก๊ก” และทางทีมงานขอนำรายละเอียดมานำเสนออีกครั้งในบทความชิ้นนี้
ปูพื้นสามก๊ก
นิยายอิงประวัติศาสตร์สามก๊ก (Romance of The Three Kingdom) เป็นเรื่องราวประวัติที่เกิดขึ้นจริงในชาติจีนช่วง ค.ศ.220-280 หรือเพียงเพียง 60 ปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากหรือคิดเป็น 0.01 % จากประวัติศาสตร์ชาติจีนที่มีมากว่า 5,000 ปี แต่การที่เรื่องราวนี้เป็นที่รู้จักและกล่าวถึงของประวัติศาสตร์จีน โดยผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมา คือ “หลัวกว้านจง” เป็นปราชญ์ยุคราชวงศ์หมิง ซึ่งความจริงเกิดหลังยุคสามก๊กมาหลายพันปี แต่ก็สามารถนำเรื่องสามก๊กที่เกิดขึ้นจริงมาแต่งเติมเรื่องราวจนน่าสนใจจดเป็นที่จดจำของคนทั้งโลก เช่นเดียวกันถ้าท่านอยากให้เรื่องราวหรือผลงานของท่านเป็นที่รู้จักและน่าจดจำ ต้องมีเรื่องราวที่น่าสนุก น่าสนใจ เพราะคนเราจะถูกตรึงไว้ด้วยการเล่า
เสน่ห์ของสามก๊ก
ในความเห็นของเขา เสน่ห์ของเรื่องนี้คือ “การศึกสงคราม” และ “เกมการเมือง” แต่ที่ตัวเขาชอบมากที่สุดคือ เกมการเมืองต่างๆ ที่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้อยู่บนโต๊ะอาหารแต่อยู่ที่วงเหล้า หรืออยู่ในท้องพระโรง และน่าติดตามยิ่งกว่าเหตุการณ์ในสนามรบเสียอีก ในเรื่อง “อุ่นสุราวิจารณ์วีรบุรษ” ที่โจโฉเริ่มตั้งตัวได้จนตั้งราชวงศ์ฮั่น โดยเป็นศึกที่แข็งแกร่งเพราะเขาได้ยึดอำนาจทางการเมืองไว้ได้ ซึ่งการยึดเมืองหลวงไว้ความสำคัญอยู่ตรงที่มีฮ่องเต้อยู่ ทำให้โจโฉสามารถออกราชโองการของตัวเอง
ขณะที่เล่าปี่ไม่มีอะไรเลย และเล่าปีแตกทัพมาและมาอาศัยโจโฉอยู่ ให้ตำแหน่งและที่พัก ซึ่งลึกๆ เล่าปี่ ไม่ชอบโจโฉเพราะมองว่าโจโฉไม่จงรักภักดี จึงร่วมคิดกับพวกอีก 7 คนจะสังหารโจโฉ โจโฉรู้เลยเรียกเล่าปี่มากินเหล้าเพราะเกิดความระแวงและอยากเห็นตัวตนที่แท้จริงของเล่าปี จนเมื่อเมฆทอดตัวยาวเหมือนมังกร โจโฉเลยถามเล่าปี่ว่า รู้มั้ยมังกรมีลักษณะอย่างไร เล่าปี่ก็ถ่อมตน ไม่รู้หรอกมังกรคืออะไร
โจโฉบอกว่า “อันมังกรนั้นมีฤทธ์เดชมาก ยามใหญ่ก็เผ่นผงาดเสมอเมฆ ยามเล็กก็ซ่อนเร้นตัวตนแทรกบังอยู่ในคลื่นทะเล” ความหมายคือ มังกรไม่ใช่จะยิ่งใหญ่อย่างเดียว แต่คนจะยิ่งใหญ่ สำคัญที่สุดคือ “ต้องรู้จักปรับตัว” นั่นก็หมายความว่า ถ้าจังหวะเวลานั้นเป็นของตัวเองแล้ว ท่านจงไปให้สุด ต้องไปให้เต็มที่สำแดงให้เต็มที่ แต่หากเวลาดวงตกอย่าซ่า และต้องรู้จักหลบลี้หนีภัย
หรือในประโยค “คนผู้จะเป็นยอดบุรุษนั้น ต้องมีน้ำใจอันกว้างขวาง ในอกต้องมีปณิธานยิ่งใหญ่ ต้องมีกลยุทธ์เต็มอุทร ครอบคลุมความสามารถ มุ่งมั่นกลืนฟ้าคายดิน” ทำให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้เขียนถ่ายทอดคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ผ่านปากของโจโฉเพื่อสอนผู้อ่านว่า ถ้าเราต้องการยิ่งใหญ่ต้องมีคุณสมบัติทั้งหมด 5 อย่าง มีน้ำใจ ปณิธาน มีกลยุทธ์ มีความสามารถ และความมุ่งมั่นอยากเป็นใหญ่
แต่แล้วถามโจโฉก้ถามต่อว่ามีขุนศึกไหนที่พอจะเป็นมังกรได้อีก เล่าปี่ก็เอ่ยชื่อมามากมาย และโจโฉกลับบอกว่า พวกนั้นเป็นบัณฑิตจอมปลอม คนที่จะยิ่งใหญ่ในโลกนี้มีอยู่ 2 คน พร้อมชี้ไปที่เล่าปี่และตัวเอง “วีรบุรุษในแผ่นดินนี้ก็มีแค่ข้ากับเจ้านี่แหละ” เล่าปี่ถึงมีอาการตกใจทำตะเกียบหลุดจากมือและนึกว่าโจโฉต้องรู้แล้วว่าตัวเขามักใหญ่ใฝ่สูงและจะลอบฆ่าโจโฉ พอฟ้าผ่าเปรี้ยงเล่าปี่จึงรีบเอามือขึ้นมาปิดหู ส่วนโจโฉบอกว่า ท่านผ่านศึกสงครามมาขนาดนี้ยังกลัวเสี่ยงฟ้าผ่าจนกระทั่งตะเกียบตกอีกหรือ เล่าปี่ก็แก้ว่า “ขนาดปราชญ์โบราณอย่างขงจื้อยังกลัวฟ้าผ่าและข้าเป็นคนใต้ฟ้าตัวเล็ก จะไม่กลัวได้อย่างไร” จากนั้นโจโฉตบโต๊ะ และเลิกระแวงเล่าปี่ไปตลอดชีวิต เพราะคิดว่าคนที่กลัวฟ้าผ่าจะมากระทำการใหญ่ยึดบ้านยึดเมืองได้อย่างไร
สิ่งที่ได้จากตอนนี้คือ เล่าปี่รอดตายจากการจับผิดของโจโฉมาได้ด้วยไหวพริบตัวเอง และได้หนีออกจากเมืองหลวง เพื่อออกจากโจโฉ แต่สุดท้ายเล่าปี่ก็กลายเป็นหนามยอกอกของโจโฉไปตลอดชีวิต จนท้ายสุดโจโฉรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งไม่ได้ก็เพราะมีเล่าปี่อยู่นี่เอง
ประโยชน์ของสามก๊ก
“เห็นความทะเยอทะยาน” จากประโยคที่โจโฉพูดกับเล่าปี่ฉาก “อุ่นสุราวิจารณ์วีรบุรษ” มีสิ่งที่เทียบเคียงกับการลงทุนคือ ถ้าอยากเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหมือนโจโฉ นักลงทุนก็ต้องอยากมีเงินลงทุนที่ยิ่งใหญ่เป็นพันล้านหมื่นล้าน
ขณะเดียวกัน ก็จะได้ “เข้าใจโลก ปลงตก อนิจจัง” ตามบทกลอน“ถูกผิดแพ้ชนะวัฏจักรเวียนว่างดาย สิงขรยังคง ตะวันยังฉายนานเท่านาน” เพราะสุดท้ายแล้วทั้งเรื่องทีการรบแทบตาย แต่ทุกคนตายหมด เหลือเพียงอยู่ 2 อย่างคือ “ภูเขากับพระอาทิตย์”
“เป็นแผนที่ชีวิต” ทำให้เราเห็นว่าเรื่องราวสามก๊กที่เกิดขึ้นเมื่อ 1,800 ปีที่แล้ว ยังมีคนที่มีบุคลิกต่างๆ ตั้งแต่ “อ้วนเสี้ยว” ที่บุคลิกเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างชอบคนประจบสอพลอ หน้าใหญ่แต่ไม่เด็ดขาด “เล่าปี่” ที่มีภาพลักษณ์ดี “โจโฉ” คนโหดเหี้ยมทารุณ และตอนนี้เราก็ยังเห็นบุคลิกจากคนเหล่านี้ได้อยู่ในช่วงสภาพสังคมปัจจุบัน และจะทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าคนแบบนี้ยังก็มีในสามก๊กเมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา จะช่วยทำให้เราเท่าทันคนและรู้จักปรับตัวว่าจะดิวกับเขาอย่างไร
การประยุกต์ใช้สามก๊กกับการลงทุน
- “การสร้างพอร์ตหุ้นอย่างเล่าปี่” คือค่อยเป็นค่อยไปอย่าทำเกินตัว เล่าปี่ถ้าเขาเป็นนักลงทุนหุ้นเขาจะไม่อัดมาร์จิ้น เขาไม่ใช่คนที่เก่ง เลือกหุ้น 10 ตัว เจ๊ง 8 ตัว แต่ที่เล่าปี่เป็นกษัตริย์ได้ เพราะเขาไม่ทำอะไรเกินตัว มีเท่าไรใช้เท่านั้น มีกวนอู เตียวหุยก็ใช้เท่านั้น และไม่สร้างศัตรู ที่สำคัญไม่ล้มเลิกและไม่ยอมแพ้ ซึ่งการคนที่แพ้แล้ว 80% แต่ไม่ล้มเลิกได้ ต้องยอมใจเขา เพราะใจต้องเหี้ยมเป็นยอดคน ซึ่งถ้าอดทนอย่างเล่าปี่ได้ เขาจะเจอหุ้นเปลี่ยนชีวิตของเล่าปี่ ถ้า ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มีหุ้นบริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) ได้ หุ้นเปลี่ยนชีวิจของเล่าปี่ก็คือ ผู้ที่สวมหมวกไหมพรมถือพัดขนห่านห้อยระย้า จนทำให้เขาเจอกับ “ขงเบ้ง” ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น คือ ต้องอดทนรอจนเจอหุ้นเหล่านั้นของตัวเองอย่าได้ยอมแพ้ไปเสียก่อน
- “รออย่างสุมาอี้ (จิ้งจอกเฒ่า)” ซึ่งหลายคนอาจจะเริ่มเทียบเคียงกับปัจจุบันที่มองว่า ถ้าวิกฤตมาจะทำอย่างไรนั้น เพราะสิ่งที่คนกลัวกันอยู่เมื่อปี 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผ่านมาแล้ว 10 ปี และหลายครั้งที่คนเชื่อว่า 10 ปีมาครั้ง แต่ตอนนี้ผ่านมา 11 ปี วิกฤตก็ยังไม่มา แล้วถ้ามาจะทำอย่างไร ซึ่งความจริงถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวก็น่าจะหนักอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะบอกคือ ต้องรออย่างสุมาอี้
“สุมาอี้”เป็นคุณนางตัวเล็กๆ คนหนึ่งของโจโฉ แต่โจโฉไม่ค่อยไว้ใจเขาเพราะโจโฉฉลาด รู้ว่าคนนี้ไว้ใจไม่ได้ เจ้าเล่ห์แสนกล และสุมาอี้ก็รู้ว่านายไม่ชอบ แต่เขาก็ไม่เคยแสดงตัวเกินหน้าเกินตา จนรอให้ยุคโจโฉผ่านไปจนเป็นยุคลูกของโจผีที่เขาก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น แต่พอรุ่นหลานโจโฉที่ชื่อโจยอยขึ้นเป็นฮ่องเต้ สุมาอี้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ แต่ปัญหาสุมาอี้คือมีผู้สำเร็จราชการอีกหนึ่งคนชื่อ “โจซอง” เขาเป็นผู้สำเร็จราชการเหมือนสุมาอี้ที่ควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย เขาพยายามตัดแข้งขาสุมาอี้ จนเหลือเป็นราชครู (องคมนตรี) ตำแหน่งดูใหญ่แต่ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง
แม้สุมาอี้ก็รู้ว่าโดนกระทำอย่างไร แต่สิ่งที่เขาทำคือแกล้งบ้าไปเลย เพื่อกลับไปนอนอยู่บ้านเหมือนคนเสียสติ ทำให้โจซองคลายความระวังป้องกัน คู่ต่อสู้ไปหมด แต่ความจริงสุมาอี้ไม่ได้บ้า เขาอยู่บ้านเพื่อฝึกปรือกำลังทหาร และส่งคนของเขาประจำตามประตูเมืองจุดต่างๆ จนถึงวัดเชงเม้งช่วงบ่ายวันหนึ่ง ที่โจซองจะไปนอกเมือง แต่มีผู้ทักท้วงโจซองแล้วว่า ให้ทิ้งทหารไว้ในเมืองบ้างซึ่งเขาไม่เชื่อ
แต่เพียงแค่บ่ายวันเดียว สุมาอี้ก็สามารถทำรัฐประหาร ยึดอำนาจได้ โดยฉากหนึ่งที่ “ชัชวนันท์” ชอบมากคือ สามก๊ก ฉบับ 2010 คือช่วงหลังที่สุมาอี้รัฐประหารสำเร็จ สุมาอี้จับโจซองนอนกับพื้นและถอดรองเท้าออก เอาเท้าเหยียบยอดอกของโจซองแล้วพูดว่า “มึงรู้มั้ย กระบี่กูชักออกมาเพียงครั้งเดียว (พร้อมจ่อที่คอหอยโจซอง) แต่กูรับกระบี่นี้มา 10 ปีแล้ว” นี่คือความโหดเหี้ยมของโจรเฒ่าสุมาอี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราในฐานะผู้ลงทุน หากสามารถอดทนรอได้เหมือนสุมาอี้ ท่านก็อาจจะได้ทุกอย่างเหมือนอย่างเขา แต่คำถามคือ ท่านเหี้ยมพอเหมือนสุมาอี้หรือเปล่า
ลักษณะสุมาอี้ คือ อดทนและรอคอยโอกาส เขายังรอลับกระบี่มา 10 ปี นี่เราก็ผ่านวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาแล้ว ดังนั้นสวมหัวใจให้เหมือนเล่าปี่และรอให้ได้อย่างสุมาอี้ โดยขณะที่รอ “หมั่นลับกระบี่” เหมือนที่สุมาอี้ไม่ได้นอนอยู่บ้านอยู่เฉย เปรียบกับนักลงทุนก็คือ ควรอ่านหนังสือ อ่านงบการเงิน วิเคราะห์หุ้น sหัดทำ “DCF” (การประเมินมูลค่าความถูกแพงของกิจการ” และ “วางกำลังให้พร้อม” โดยที่ต้องลับกระสุนอยู่ แต่ในพอร์ตก้ต้องมีเงินสดอยู่บ้าง 10-20 % เพราะถ้าเราไม่เตรียมตัว หากวิกฤตมาเราจะเปลี่ยนเป็นโอกาสไม่ได้ สุดท้าย “ถึงเวลาต้องกล้าลงมือ” ซึ่งเรื่องนี้เหมือนง่ายแต่ความเป็นจริงคือ ข้อที่ทำได้ยากที่สุด
“ปี 2008 เกือบล้างพอร์ตออกจากตลาดหุ้น เพราะหุ้นจาก 900 จุด เหลือ 300 จุด พอร์ตผมหายไป 30 % โชคดีกัดฟันสู้ ทำให้รู้ว่าหากวิกฤตมาต้องกล้าลงมือ เพราะถ้าไม่กล้าลงมือ เมื่อวิกฤตมาถึงจริง แม้ที่ผ่านมาเราเตรียมตัวพร้อมอย่างไรก็จะเหมือนอากาศธาตุ ถ้าโอกาสมาต้องกล้าลงมือไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนสุมาอี้ไม่ได้”
มอง Trade War แบบสามก๊ก
เป็นที่รู้กันว่า สงครามการค้าจีน (Trade War) จุดเริ่มต้นมาจากสหรัฐหาเรื่องก่อน สิ่งที่นักลงทุนต้องทำคือ ต้องอ่านใจโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ออกว่าเขาต้องการอะไรก็จะเข้าใจ ทั้งหมดสืบเนื่องจากเขาหาเสียงไว้เมื่อเป็นประธานาธิบดีว่าสหรัฐต้องการลดการเสียดุลการค้าของจีน เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นช่วงออกหมัดเก็บคะแนน ฉะนั้น ระยะที่เหลืออีกเพียงปีกว่าๆ ถือเป็นช่วงเก็บคะแนนจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือน พ.ย. ปี 2563 นี่เป็นช่วงเวลาออกหมัดของทรัมป์อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่สภาพความเป็นจริง Trade War เกิดขึ้นมาเป็น 1,800 ปี แล้ว เป็นศึกรบระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้ ที่ขงเบ้งยกทัพบุกขึ้นเหนือเพื่อลุยทัพ แต่สุมาอี้ใช่วิธีการตั้งรับและปิดค่ายอย่างเดียว เพราะเชื่อว่าเดี๋ยวขงเบ้งก็ต้องตาย ซึ่งขงเบ้งส่งทหารมาเพื่อรอรบตลอดเวลา แต่สุมาอี้ก็ไม่ยอมออกมา จนขงเบ้งใช้ไม้ตาย ด้วยการส่งชุดชั้นในผู้หญิงให้สุมาอี้ผ่านผ่านคนส่งสาร “ท่านแม่ทัพ ถ้าท่านไม่กล้าออกมารบก็ไปใส่ชุดชั้นในผู้หญิงซะ” แม้สุมาอี้จะโดนเหยียบจมูกอย่างนี้ แต่ความใจเหี้ยมสุมาอี้ ก็เลือกเอาชุดชั้นในมาทาบตัวให้ทหารของขงเบ้งเห็นแล้วบอกว่า “ก็เหมาะกับข้าดีนะ” เพื่อส่งสารกลับไปบอกขงเบ้งว่า การยั่วยุของมึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก จนสุดท้ายขงเบ้งตายกลางสนามรบไปเอง และนี่คือความเหี้ยมของสุมาอี้
สิ่งที่เชื่อมโยงกับ Trade War ตรงที่ การที่กว่าสหรัฐจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่อีก ก็ปล่อยให้ทรัมป์ยั่งยุไป เพราะถ้าการเลือกตั้งสหรัฐจบ หากเชาแพ้เลือกตั้งทุกอย่างก็คลี่คลาย หรือถึงแม้ทรัมป์จะชนะก็ไม่ต้องขยันออกหมัดแล้วเหมือนตอนนี้แล้ว เพราะก็จะเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ต่อไป
อยากประสบความสำเร็จการลงทุนด้วยกลยุทธ์สามก๊ก
- ต้องคิดใหญ่เหมือนโจโฉ อย่าเหนียมที่อยากจะได้พอร์ตใหญ่ ซึ่งแปลว่าต้องหมั่นฝึกฝน และกล้าลงมือ
- ขยันให้เหมือนขงเบ้ง เพราะขงเบ้งอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก มือไม่ว่างเว้นตำรา อ่านงบการเงิน เลือกอ่านข่าวจากแหล่งที่ดีๆ
- อย่ายอมแพ้เหมือนเล่าปี่ เพราะการออกศึกแม้แพ้ไปทั้งหมด 8 ชนะเพียง 2 ครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็สามารถเปลี่ยนชีวิต จนเป็นใหญ่ได้
- อดทนให้เหมือน สุมาอี้ ใจต้องเหี้ยมเพื่ออดทนรอวันข้างหน้า
You must be logged in to post a comment.