ในช่วงเวลาที่เกิดความไม่สงบระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่ใช้กำลังทหารโดยตรง หรือความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดการเงินมักตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ความผันผวนสูงขึ้น ความเชื่อมั่นลดลง และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างสินทรัพย์ กลายเป็นกลไกป้องกันความเสี่ยงในระยะสั้น
มาดูกันว่าหุ้นกลุ่มธุรกิจไหนได้ประโยชน์ หรือมักจะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับทุกสถานการณ์กันครับ
💎 กลุ่มธุรกิจที่มักได้รับผลบวก
- พลังงาน (Energy Sector)
ความขัดแย้งในภูมิภาคที่มีบทบาทด้านการผลิตพลังงาน เช่น ตะวันออกกลาง หรือรัสเซีย
ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติผันผวนในเชิงบวก บริษัทในกลุ่มสำรวจ ผลิต และจำหน่ายพลังงาน มักเห็นราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ - กลาโหมและเทคโนโลยีความมั่นคง (Defense & Aerospace)
ในประเทศที่มีบริษัทจดทะเบียนด้านยุทโธปกรณ์หรือระบบป้องกันประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เพราะมีความต้องการงบประมาณด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทเหล่านี้อาจมีรายได้และคำสั่งซื้อใหม่ตามมา - เหมืองแร่และโลหะมีค่า (Precious Metals & Mining)
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความเชื่อถือในช่วงวิกฤต ท่ามกลางความไม่แน่นอน
บริษัทเหมืองทองหรือเหมืองเงินมักได้รับประโยชน์จากราคาตลาดที่ปรับตัวขึ้น - สาธารณูปโภค (Utilities)
ด้วยลักษณะธุรกิจที่มีรายได้มั่นคงต่อเนื่องแม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หุ้นในกลุ่มนี้มักถูกจัดอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัยของพอร์ตลงทุนเชิงรับ
⚠️ กลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น
- ท่องเที่ยวและสายการบิน (Travel & Airlines)
ความกังวลด้านความปลอดภัย ภัยคุกคามด้านการเดินทาง และต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
ส่งผลโดยตรงต่อรายได้และอัตรากำไรของธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลก - อุตสาหกรรมที่พึ่งพา Supply Chain ต่างประเทศ
อุตสาหกรรมที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร หรือผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป อาจเผชิญปัญหาคอขวดด้านโลจิสติกส์ และต้นทุนที่ผันผวนอย่างรุนแรง - เทคโนโลยีและหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks)
แม้จะมีแนวโน้มเติบโตระยะยาว แต่ในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง
หุ้นกลุ่มนี้มักถูกขายออกก่อนเป็นลำดับต้น ๆ เพื่อย้ายเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยหรือลดความเสี่ยง
🎯 มุมมองเชิงกลยุทธ์
ภาวะสงครามไม่จำเป็นต้องหมายถึงวิกฤตสำหรับนักลงทุน หากมีการวางกลยุทธ์ที่รอบคอบ
การประเมิน “โครงสร้างพอร์ต” และ “กระจายความเสี่ยงตามภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรม” จะช่วยลดผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเฝ้าติดตามปัจจัยมหภาค เช่น ราคาน้ำมัน ค่าเงิน นโยบายดอกเบี้ย และการส่งออกของประเทศใหญ่ จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนในระยะกลาง–ยาว
📌 ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน โปรดศึกษาข้อมูลหุ้นเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนครับ