EPG โชว์ปีบัญชี 67/68 ยอดขาย 13,790 ล้าน โต 4.7% เสนอปันผลหุ้นละ 8 สตางค์ เตรียมประชุม 23 ก.ค.นี้

EPG เผยผลการดำเนินงานปีบัญชี 2567/68 (เม.ย. 67 – มี.ค. 68) มียอดขายรวม 13,790 ล้านบาท เติบโต 4.7% จากปีก่อน แม้กำไรสุทธิลดลงเหลือ 808 ล้านบาท จากปัจจัยกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการตั้งสำรองลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมบอร์ดมีมติเสนอจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอีก 0.08 บาทต่อหุ้น รวมจ่ายทั้งปี 0.14 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 48.5% ของกำไรสุทธิ พร้อมกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผลดังกล่าว

ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ในปีบัญชี 67/68 (เม.ย. 67 – มี.ค. 68) บริษัทมียอดขาย 13,790 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 13,170 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.7% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 33.4% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 30–33% และมีกำไรสุทธิที่ 808 ล้านบาท ลดลง 33.2% จากปีก่อน เนื่องจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทั้งจากธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ อีกทั้งมีการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ 324 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าลดลง 39.6%

สำหรับการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจ มีดังนี้

➡️ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มียอดขาย 4,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน เป็นผลมาจากความต้องการใช้งานฉนวนกันความร้อน/เย็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกาเติบโตดีขึ้นจากความต้องการฉนวนเกรดพรีเมี่ยม และสินค้าเพื่อใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และระบบ Air Ducting system อีกทั้งยอดขายในสหรัฐอเมริกาโดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าโครงการ ได้แก่ กลุ่ม Semi-Conductor, Data Center และยานยนต์

➡️ ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มียอดขาย 6,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อน เนื่องจากยอดขายบันไดข้างรถกระบะ (Side steps) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อีกทั้งคำสั่งซื้อสินค้าใหม่จากค่ายยานยนต์ญี่ปุ่นซึ่งรับรู้รายได้เต็มปีในปีบัญชีนี้ รวมถึงการทยอยส่งชิ้นส่วนยานยนต์รุ่นใหม่ ๆ แก่ค่ายยานยนต์ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ส่งผลกระทบต่อยอดการผลิตของผู้ผลิตยานยนต์ในหลายประเทศ และกระทบต่อธุรกิจของบริษัทเช่นกัน

➡️ ธุรกิจในออสเตรเลียมียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากการซื้อกิจการร้านค้าปลีก TJM จากตัวแทนจำหน่าย

➡️ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขาย 2,578 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน โดยได้รับผลกระทบจากภาวะการแข่งขันที่สูง อย่างไรก็ตาม บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด มีจุดเด่นจากมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มอก., GMP, HACCP, BRC และ FSC จึงเป็นที่ไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเลือกให้เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก พร้อมทั้งดำเนินการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

EPG รุกจัดการต้นทุน-บริหารวัตถุดิบหลายแหล่ง หนุนต้นทุนขายเติบโตต่ำกว่ายอดขาย

บริษัทมีต้นทุนขายสินค้าเพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 13.2% จากปีก่อน มาจากค่าใช้จ่ายในการขายของกิจการในออสเตรเลีย และค่าใช้จ่ายในการขนส่งของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas

และในปีบัญชีนี้บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 199 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 52 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 13 ล้านบาท และเป็นขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง 186 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทมีการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ 324 ล้านบาท มาจากรายการลูกหนี้การค้าของบริษัท แอร์โรคลาส จำกัด ซึ่งจำหน่ายสินค้าให้แก่ธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้ ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อสำคัญจากค่ายยานยนต์รายใหญ่ในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหาอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ Supply Chain ทั้งหมด โดยผลการเจรจาคืบหน้าไปด้วยดี นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 280 ล้านบาท มาจากผลประกอบการของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ

ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 224 ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2568 ในวันที่ 23 ก.ค. 68 และหากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 ส.ค. 68 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 20 ส.ค. 68

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 67 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท (หกสตางค์) หากรวมกับการปันผลในครั้งนี้อีก 0.08 บาทต่อหุ้น (แปดสตางค์) จะทำให้บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลรวม 0.14 บาทต่อหุ้น (สิบสี่สตางค์) คิดเป็น 48.5% ของผลกำไรสุทธิ (Payout ratio)