Home2 เหตุผลที่จะทำให้ Amazon กลายเป็นหุ้นที่น่าจับตามองและสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นในปี 2567

2 เหตุผลที่จะทำให้ Amazon กลายเป็นหุ้นที่น่าจับตามองและสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นในปี 2567

มีคำถามมากมายเกี่ยวกับหุ้น Amazon (AMZN) ในปีนี้ เนื่องจากอัตราการเติบโตของ Amazon Web Services (AWS) ชะลอตัวจาก 27% ในปี 2564 เหลือ 12% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 หลังจากได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง การขาดแคลนแรงงาน และราคาหุ้นร่วงลงสู่จุดต่ำสุดตั้งแต่ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทต่างๆ ยังลดงบประมาณสำหรับการใช้ข้อมูลและการโฆษณาในปี 2566 เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นจริงและบริษัทต่างๆ อาจเริ่มที่จะใช้จ่ายเงินของตนมากขึ้นในปี 2567 ซึ่งธุรกิจของ Amazon ในสองส่วนนี้อาจจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์:

🤖 Amazon Web Services (AWS)

AWS เปรียบเหมือนระบบสาธารณูปโภคซึ่งลูกค้าจะสามารถจ่ายตามการใช้งานจริง อย่างไรก็ตาม ลูกค้าจำนวนมากกลับลดการใช้ข้อมูลเพราะเศรษฐกิจเริ่มซบเซาในช่วงต้นปี 2566 แต่ Andy Jassy ซึ่งเป็น CEO ของ Amazon กลับมองต่างออกไปและอธิบายหลายครั้งเกี่ยวกับการสร้างรายได้ให้กับ Amazon โดยเขาระบุว่า “เรายินดีที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในการลดการใช้จ่าย แม้ว่ายอดขายของบริษัทในปี 2566 จะต้องประสบกับปัญหาก็ตาม” ซึ่งเห็นได้จากยอดขายที่สูงถึง 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่การเติบโตกลับไม่มากนัก

Jassy รู้ดีว่าการทำให้ลูกค้ามีความสุขและมีส่วนร่วมในระยะยาวนั้นสำคัญกว่าการพยายามบีบยอดขายให้มากขึ้นในระยะสั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม

สิ่งที่น่าสนใจคือ “ในปัจจุบันโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นน้อยลงและลูกค้าเหล่านี้อาจจะสามารถใช้จ่ายกับบริการต่างๆ ของบริษัทในปี 2567 ได้มากกว่าในปี 2566”

ไม่เพียงเท่านั้น AWS ยังจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2566 เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้ต้องการข้อมูลจำนวนมากและทำงานอยู่บนคลาวด์เป็นหลัก นอกจากนี้ Amazon ยังมีโมเดลพื้นฐานที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้าง Chatbot แบบกำหนดเองและรันบน AWS ได้อีกด้วย

ดังนั้น หากการเติบโตของ AWS เพิ่มมากขึ้น นักลงทุนก็อาจจะได้เห็นราคาหุ้น Amazon ที่สูงขึ้นในปี 2567 ก็เป็นได้

🦾 Digital advertising

บริษัทต่างๆ ได้ลดงบประมาณสำหรับการโฆษณาลงในปี 2566 โดย Statista ตั้งข้อสังเกตว่า “การใช้จ่ายด้านการโฆษณาจะลดลงในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและจะฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อความกลัวในภาวะเศรษฐกิจถดถอยจางหายไปและอัตราเงินเฟ้อลดลง” ซึ่งในปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะไม่เกิดขึ้นก็อาจจะทำให้ธุรกิจการโฆษณาเริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง

การโฆษณาแบบ Pay-per-click, Product placement และ Featured product ของ Amazon คือผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างตรงเป้ามากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจโฆษณาของ Amazon จึงเติบโตมากกว่า 20% เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งเติบโตแซงหน้าธุรกิจอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันเป็นอย่างมาก

ยอดขายของ Digital advertising ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.98 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2563 มาอยู่ที่ 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่องบประมาณสำหรับการใช้จ่ายไปกับการโฆษณาของแต่ละบริษัทเริ่มกลับมา

📈 สรุป

หุ้นของ Amazon ยังอยู่ในช่วงขาลงและยังคงซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลถึง 17%

อย่างไรก็ตาม บริษัทแข็งแกร่งกว่าที่เคยด้วยแหล่งรายได้ที่หลากหลาย ซึ่งทำให้ไม่ต้องพึ่งพายอดขายจากการขายปลีกมากนัก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบริการ Third-party seller ที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นและมีผู้ใช้งานมากกว่า 200 ล้านคนสมัครใช้บริการ Prime

นอกจากนี้ Amazon ยังมีความพร้อมสำหรับเทคโนโลยี AI นี่จึงเป็นสาเหตุที่นักลงทุนจำนวนมากรู้สึกตื่นเต้นกับการเติบโตของ Amazon ในปีหน้า

ในส่วนของอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทมีอัตราส่วนทางการเงิน เช่น Price-to-Sales (P/S) ที่ 2.891 และ Price-to-Cash Flow from operations ที่ 22.35 ซึ่งน่าสนใจและแสดงให้เห็นว่า Amazon ถูกประเมินมูลค่าต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

แม้ Amazon อาจจะยังไม่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่โดดเด่นในปี 2566 แต่ยังมีช่องว่างสำหรับการเติบโตที่น่าสนใจในปี 2567 และยังดูยอดเยี่ยมในระยะยาวอีกด้วย

📌สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Amazon?

แอปพลิเคชัน StockRadars PLUS คือคำตอบ

StockRadars PLUS เป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการซื้อ-ขาย หุ้นและ ETF อเมริกา โดยสามารถซื้อ-ขายในรูปแบบ Fractional Share ได้

ดังนั้น นักลงทุนจึงสามารถเริ่มต้นลงทุนเพียง 1 ดอลลาร์ (หรือประมาณ​35 บาทเท่านั้น) เพื่อเป็นเจ้าของในหุ้นระดับโลกอย่าง Tesla, Netflix, Apple และหุ้นชั้นนำอีกมากมาย

นอกจากนี้ StockRadars PLUS จะพาผู้ใช้งานทุกคนไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ผ่านการทำความรู้จักกับหุ้นชั้นนำต่างๆ ในรูปแบบ Short Video และเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถแสดงความคิดเห็นในหุ้นแต่ละตัวได้

มาเดินทางไปสู่ตลาดอเมริกาด้วยกัน เปิดบัญชีเทรดผ่าน StockRadars PLUS ได้เลย! https://bit.ly/OpenAccount_StockRadarsPLUS

ดาวน์โหลด StockRadars PLUS ที่นี่ https://stockradarsplus.page.link/STRFBpagedownload