HomeOn Radarsศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด น้ำดื่มวิตามินโตต่อ ปีหน้ามูลค่าตลาดพุ่ง 7,000 ลบ.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด น้ำดื่มวิตามินโตต่อ ปีหน้ามูลค่าตลาดพุ่ง 7,000 ลบ.

💧 คงปฏิเสธไม่ได้ว่า น้ำดื่มดับกระหาย เพิ่มคุณค่าทางวิตามินให้กับผู้บริโภค ยังคงเป็นที่น่าจับตา หลังจากหลายๆบริษัท หันมาปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ ในเชิงสุขภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยเทรนด์บริโภคที่เปลี่ยนไป เห็นได้จากธุรกิจเครื่องดื่มของไทย ในระยะหลัง เริ่มเติบโตในทิศทางที่ชะลอตัว แต่สำหรับเครื่องดื่มสุขภาพคาดว่าจะยังเป็นกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อยู่

โดยน้ำดื่มผสมวิตามิน คือเครื่องดื่มกลุ่ม Water Plus ซึ่งเป็นเซกเมนต์ใหม่ในตลาดเครื่องดื่มที่น่าจับตา จากจุดเด่นสำคัญคือ ใส ไร้สี ดับกระหายได้เช่นเดียวกับน้ำเปล่า แต่ให้สารอาหารเพิ่มเข้ามา อาทิ วิตามิน B และ C ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ รวมถึงสารอาหารอื่น ซึ่งอาจทำให้มีกลิ่นหรือรสชาติที่แตกต่างจากน้ำเปล่า แต่ให้พลังงานและน้ำตาลน้อยมาก ตอบรับกับเทรนด์สุขภาพได้ดี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความนิยมน้ำดื่มผสมวิตามิน ในฝั่งผู้บริโภค เกิดจากการตื่นตัวกับการดูแลตัวเองและต้องการเสริมภูมิคุ้มกันจากภาวะแวดล้อมในชีวิตปัจจุบัน ทั้งที่มาจากโรคภัยและการใช้ชีวิตแบบวิถีคนเมือง ในขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการ ถือเป็นการยกระดับการพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการทำกำไร จากน้ำดื่มบรรจุขวด-น้ำแร่ ไปสู่น้ำดื่มผสมสารอาหาร (Water Plus) อีกทั้งยังเป็นช่องว่างทางการตลาดใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่มที่พยายามปรับตัวให้สอดรับกับนโยบายภาครัฐที่หันมาคุมเข้มมากขึ้นในกลุ่มสินค้าที่มีผลต่อสุขภาพมากขึ้น (การปรับอัตราภาษีแอลกอฮอล์/ภาษีความหวาน) ซึ่งส่งผลให้สินค้าเดิมในตลาดที่เข้าข่าย อาทิ น้ำอัดลม ชาเขียว น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำเป็นต้องปรับแผนการผลิต หลังจากเผชิญกับต้นทุนทางธุรกิจที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น

เบื้องต้นประเมินว่า ปี 2563 ตลาดเครื่องดื่มผสมวิตามินในไทยจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 1.2 ของมูลค่าเครื่องดื่มทั้งหมดของไทย และคาดว่ามูลค่าตลาดจะขยับขึ้นเป็นประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาทในปี 2564

ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางด้านการแข่งขัน (Competitive Landscape) จะพบว่า มูลค่าตลาดเครื่องดื่มผสมวิตามินที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นนั้น คงมาจากการขยายตัวด้านปริมาณและระดับราคาสินค้าที่อยู่จัดอยู่ในกลุ่มน้ำดื่มบรรจุขวดพรีเมียมที่มีราคาสูง ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของภาพรวมตลาดเครื่องดื่มหลังจากอิ่มตัวมาสักระยะหนึ่ง แต่คงไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด สาเหตุที่อาจจะเป็นเช่นนั้นมาจาก

การขยายตัวด้านปริมาณที่เพิ่มขึ้น น่าจะมาจากการ Switching ประเภทเครื่องดื่มของผู้บริโภคจากสินค้าทดแทน 2 กลุ่ม คือ

👉🏻 1) กลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ที่ชูจุดขายการเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเช่นเดียวกับน้ำดื่มวิตามิน แต่อาจจะมีปริมาณน้ำตาลหรือให้พลังงานที่มากกว่า
👉🏻 2) กลุ่มน้ำแร่ ซึ่งเป็นน้ำดื่มบรรจุขวดพรีเมียม ซึ่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมาจากการให้ความสำคัญด้านคุณภาพและความตระหนักด้านผลลัพธ์ด้านสุขภาพเช่นเดียวกับน้ำดื่มผสมวิตามิน

โดยทั้งสองประเภทมีระดับราคาและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใกล้เคียงกับน้ำดื่มผสมวิตามิน สะท้อนให้เห็นว่า มูลค่าตลาดเครื่องดื่มวิตามินจะเพิ่มขึ้น น่ามาจากการแย่งส่วนแบ่งตลาดและทำให้มูลค่าตลาดของเครื่องดื่มกลุ่มดังกล่าวลดลง (ภายใต้เงื่อนไขอัตราการบริโภคเครื่องดื่มของผู้บริโภคไม่เพิ่ม)

ระดับความรุนแรงของการแข่งขันด้านราคาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ทั้งจากผู้เล่นเดิมในธุรกิจเครื่องดื่มที่อาจจะข้ามสายการผลิต หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่-เจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไรให้กับธุรกิจมากขึ้น รวมถึงผู้เล่นรายใหม่ข้ามธุรกิจที่มองเห็นโอกาสทางการตลาดและต้องการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด เช่น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม (อาหารเสริม โรงพยาบาล) เป็นต้น

ดังนั้น ด้วยจำนวนผู้เล่นที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหากผู้เล่นรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบเรื่องช่องทางการจำหน่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคและจุดแข็งด้านการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดการขายผ่านกิมมิกต่างๆ ลงมาแข่งขันในตลาดนี้ ในที่สุดแล้วจะนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ รวมถึงอัตราการเติบโตของตลาดในระยะต่อไป

และสำหรับภาพรวมตลาดเครื่องดื่มในประเทศของไทยปี 2563 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 4.45 แสนล้านบาท หดตัวร้อยละ 3.0 (YoY) จากการหดตัวของกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก ซึ่งโดยรวมตลาดเครื่องดื่มได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่กระทบกับช่องทางการขายซึ่งถูกจำกัดในช่วง Lockdown และกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังอ่อนแรงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการพลิกกลับมาหดตัวในรอบ 10 ปี

อย่างไรก็ดี ปี 2564 คาดว่า มูลค่าตลาดเครื่องดื่มในประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย