คลังรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน 2563 เผยเศรษฐกิจไทยเดือนที่ผ่านมายังชะลอตัว แต่มีสัญญาณลงทุนเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนและปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ หดตัวในอัตราชะลอลงร้อยละ -9.0 และ -26.4 ต่อปี ตามลำดับ
“เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2563 ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น หลังจากมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนในหมวดการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศที่สะท้อนผ่านการส่งออกสินค้าและบริการยังคงชะลอตัว สอดคล้องกับด้านอุปทานที่ชะลอตัวลงในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว”
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และ นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน 2563 พบว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2563 ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น หลังจากมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศทั้งการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนในหมวดการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศที่สะท้อนผ่านการส่งออกสินค้าและบริการยังคงชะลอตัว สอดคล้องกับด้านอุปทานที่ชะลอตัวลงในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณฟื้นตัว สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 ต่อปี สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 41.4 หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ทำให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ประกอบกับผลของมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ช่วยให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น อย่างไรก็ดี การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่ยังคงชะลอตัว แต่มีอัตราการชะลอตัวที่ลดลง
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนและปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ หดตัวในอัตราชะลอลงร้อยละ -9.0 และ -26.4 ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการลงทุนในหมวดการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนเช่นกัน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี และการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวในอัตราชะลอลงที่ร้อยละ -6.6 ต่อปี ส่วนดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ร้อยละ -2.9 ต่อปี โดยมีปัจจัยสําคัญจากการลดลงของราคาในหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กเป็นสำคัญ
เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอตัว สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวร้อยละ -23.2 ต่อปี จากการลดลงของการส่งออกสินค้าในหมวดสำคัญ อาทิ หมวดรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และหมวดเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี การส่งออกในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 4.6 ต่อปี เช่นเดียวกับการส่งออกในหมวดสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร อาทิ หมวดผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 8.8 ต่อปี ขณะที่สินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และไก่สดแช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 21.4 และ 4.6 ต่อปี ตามลำดับ จากความต้องการสินค้าอาหารในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ตลาดคู่ค้าหลักของไทย อาทิ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน 9 ประเทศ ลดลงร้อยละ -21.6 -22.7 และ -30.3 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกไปประเทศสหรัฐฯ และจีนขยายตัวที่ร้อยละ 14.5 และ 12.0 ต่อปี ตามลำดับ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป รวมถึงหมวดผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป เป็นต้น สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวร้อยละ -18.1 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนมิถุนายน 2563 เกินดุล 1.61 พันล้าดอลลาร์สหรัฐฯ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานชะลอตัว พบว่าภาคอุตสาหกรรมและภาคท่องเที่ยวยังคงชะลอตัว สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวร้อยละ -17.7 ต่อปี จากการลดลงของการผลิตในหมวดยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง และพลาสติก เป็นต้น อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80.0 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมโรคระบาดของภาครัฐ ทำให้ภาคเอกชนสามารถกลับมาดำเนินการธุรกิจได้มากขึ้น สำหรับดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวร้อยละ 2.7 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นผลผลิตในหมวดไม้ผล อาทิ ทุเรียน และมังคุด สอดคล้องกับผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะไก่เนื้อ ตามความต้องการทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะจีน อย่างไรก็ดี ผลผลิตข้าวและมันสำปะหลังปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ภัยแล้ง ในขณะที่สถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีการระบาดทั่วทุกภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยต่อเนื่องจากเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2563
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ -1.6 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.0 ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 อยู่ที่ร้อยละ 44.0 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 241.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ