HomeOn Radarsทำไม? ซีไอเอ็มบี ไทย ห่วงกระแส Anti-globalization หลังโควิดจบ

ทำไม? ซีไอเอ็มบี ไทย ห่วงกระแส Anti-globalization หลังโควิดจบ

ตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์-นักวิเคราะห์ต่างมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและของแต่ละประเทศว่าจะเป็นอย่างไรกันต่อหากภาวะไวรัสโควิด-19 นี้จบลง เพราะแม้จะเริ่มมีข่าวควาามคืบหน้าที่ดีขึ้นของภาวะผู้ติดเชื้อแต่ละประเทศที่เริ่มมีอัตราที่ลดลงแล้ว และการคิดค้นวัคซีนและยาที่มาใช้รักษา

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ให้มุมมองว่า วิกฤตไวรัสโควิด ปี 2020 มีความแตกต่างจากวิกฤตในอดีต แต่มีโอกาสซ้ำรอยวิกฤตปี 1929 ที่รุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 เพราะกระแสกีดกันการค้า โดยอยากให้ย้อนดูกันก่อนว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจของแต่ละช่วงวิกฤตเป็นอย่างไร 

  • ‘L’ คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่รุนแรง (Great Depression) ปี 1929 เกิดจากฟองสบู่ภาคตลาดทุนในสหรัฐแตก การค้าโลกหดตัวนานหลายปี เศรษฐกิจถดถอย เกิดภาวะเงินฝืด และใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว การฟื้นตัวเป็นรูปตัว L
  • ‘U’ คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง (Asian Financial Crisis) ปี 1997 เกิดจากฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตกลามสู่วิกฤติการเงินในไทยและหลายประเทศในเอเชีย การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนที่ผิดพลาดนำไปสู่การลอยตัวค่าเงินบาท เศรษฐกิจไทยหดตัวแรง แต่ใช้เวลาฟื้นตัวไม่นาน เพราะไทยไม่มีปัญหาการว่างงานสูง และการที่ค่าเงินบาทอ่อนช่วยเรื่องการส่งออก การฟื้นตัวเป็นรูปตัว U
  • ‘V’ คือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Global Financial Crisis) ปี 2008 เกิดจากวิกฤติการเงินในสหรัฐจากตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนที่เสี่ยงในตลาดการเงิน ส่งผลกระทบลามเป็นลูกโซ่ ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน เศรษฐกิจสหรัฐและหลายประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้เร็ว เพราะสหรัฐเร่งอัดฉีดเงินสู่เศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน และจีนกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผ่านมาตรการการคลัง การฟื้นตัวเป็นรูปตัว V
  • ‘J’ ที่กลับข้างจากซ้ายเป็นขวา คือ วิกฤติไวรัสโควิด-19  (Covid -19 Crisis) ปี 2020 เกิดขึ้นในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป การฟื้นตัวอาจเป็นรูปตัว J กลับข้างจากซ้ายเป็นขวา คือ ลงลึก ฟื้นช้า และโตต่ำกว่าเดิม

วิกฤตรอบนี้เปรียบเหมือนเรากำลังอยู่ในสงคราม แต่เป็นสงครามเศรษฐกิจ ในช่วงสงครามมักเกิดเงินเฟ้อ จากความต้องการสินค้ามากกว่าของที่มี ซึ่งเกิดจากการที่รัฐสั่งปิดกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัส ส่งผลให้เกิดการว่างงาน ผลผลิตลดลง 

แต่มาตรการเยียวยาและการชดเชยรายได้ให้คนบางกลุ่มได้เข้ามาประคองกำลังซื้อ ทำให้รายได้และความต้องการสินค้าไม่ได้ลดลงมาก จึงอยากเตือนให้ระวังเงินเฟ้อ และในภาวะสงครามที่เราไม่รู้ว่าจะลากยาวเพียงไรนี้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกมาก เราต้องปรับตัวเองให้ทัน ไม่อย่างนั้นถึงแม้ชนะสงครามไวรัสแต่อาจแพ้สงครามเศรษฐกิจ GDP โตช้ากว่าในอดีตไปอีกนานเป็นรูป ตัว J กลับด้านจากซ้ายเป็นขวา คือ ลงลึก ฟื้นช้า และโตต่ำกว่าเดิม

วิกฤติไวรัสโควิด เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำมานานจากหลายปัจจัย ปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐทำให้ภาคการผลิตไทยหดตัว งบประมาณล่าช้า และปัญหาภัยแล้ง 

มีเพียงภาคการท่องเที่ยวช่วยประคองเศรษฐกิจ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้คนไทยและทั่วโลกขาดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน รายได้ลดลง เกิดปัญหาสภาพคล่อง มีการเทขายสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อถือเงินสด ต้องอาศัยการแทรกแซงของรัฐ (state intervention) หรือแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบ Keynesian เพื่อเติมเงินในกระเป๋าคน สร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มกำลังซื้อ ป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจถดถอยแรง เพราะหากปล่อยให้กลไกตลาดทำงานเองจะเกิดปัญหาการว่างงาน ซ้ำรอยวิกฤติปี 1929 ที่รุนแรงกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง 

อย่างไรก็ดี หากมีการอัดฉีดงบการใช้จ่ายภาครัฐราว 4 แสนล้านบาทโดยเร็ว การบริโภคภาครัฐจะขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสที่ 2-4 ได้ราว 20% และจะมีส่วนให้ GDP ดีขึ้นกว่ากรณีฐานราว 2% คือหดตัวน้อยลง 

ผลกระทบข้างเคียงอัดฉีดงบการคลัง 1 ล้านล้านบาท 

มาตรการการคลังที่เตรียมใช้เม็ดเงินทั้งหมดราว 1 ล้านล้านบาท โดยหวังจะสร้างตัวทวีคูณ (multiplier) ให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว แต่ต้องแลกมาด้วยการขาดดุลงบประมาณที่จะเร่งตัวขึ้น และหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่อาจพุ่งแตะเพดานที่ 60% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า อาจเกิดผลข้างเคียงดังนี้ 

1.เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็ว จากความต้องการสินค้าที่ขาดแคลน ขณะที่การผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงเวลานี้จึงไม่ถูกหยิบมาใช้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ นอกจากนี้ รัฐบาลอาจมีแรงจูงใจให้เกิดเงินเฟ้อเพื่อให้หนี้ภาครัฐโตช้ากว่ารายได้ และช่วยให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงได้ในภายหลัง

2.ขึ้นภาษีหารายได้ โดยอาจเป็นการขยายฐานภาษีเพื่อเพิ่มรายได้มากกว่าเก็บอัตราภาษีเพิ่ม เพราะรัฐยังอยากประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 

3. รัฐบาลจะออกพันธบัตรการออม (Saving Bond หรือ COVID bond) เพื่อระดมทุนใช้จ่าย และหวังดูดซับการบริโภคภาคเอกชนไม่ให้ร้อนแรงจนเกิดเงินเฟ้อสูง แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือจะให้ผลตอบแทนเท่าไร ขณะนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีอยู่ที่ราว 1.50% หากจะจูงให้คนออมมากๆ ก็อาจสูงได้ถึง 2.50% แต่สิ่งที่น่าห่วงคือไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้ในภายหลัง

4. นักวิเคราะห์จะแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ และลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ก็ควรพิจารณาความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ด้วย

5. การค้าการลงทุนโลกเปลี่ยน อาจเกิดกระแสต่อต้านการค้าเสรี (anti-globalization) เพราะแต่ละประเทศหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ท่องเที่ยวในประเทศ ใช้สินค้าในประเทศ สนับสนุนการจ้างงานและการลงทุนในประเทศ เพื่อลดรายจ่ายและฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศก่อน ขณะที่หลายประเทศอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น ขึ้นภาษี หรือจำกัดการนำเข้า มาตรการเหล่านี้อาจดีในระยะสั้น แต่ไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว เพราะการผลิตจะขาดประสิทธิภาพ เราควรเดินหน้าสนับสนุนการรวมกลุ่มอาเซียนและการค้าเสรีเพื่อชาวให้การค้าโลกฟื้นได้โดยเร็ว และจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้นในระยะยาว”

“นักลงทุนไทยควรพึ่งพาวัตถุดิบและตลาดในประเทศในช่วงที่การค้าโลกชะลอ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ด้านแรงงานควรมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเรียนรู้ให้ทันกับเทคโนโลยีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

ทั้งนี้  เพราะในภาวะสงครามที่เราไม่รู้ว่าจะลากยาวเพียงไรนี้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกมาก และเราต้องปรับตัวเองให้ทัน ไม่อย่างนั้นถึงแม้ชนะสงครามไวรัสแต่อาจแพ้สงครามเศรษฐกิจ