HomeUncategorizedหุ้นไทยยังไม่วิกฤตแต่คาดการณ์ยาก

หุ้นไทยยังไม่วิกฤตแต่คาดการณ์ยาก

ต้องถือว่าระดับเซียนยังมีโอกาสผิดพลาดกับการลงทุนได้เช่นกัน เพราะ “วัชระ แก้วสว่าง” หรือ “เสี่ยป๋อง” ได้ลงประกาศบนเฟซบุ๊กหลังตัดขายขาดทุนหุ้น  1 ตัว จากพอร์ตไป มูลค่าทั้งหมด 13 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลทั้งหมดเพราะอยากออกมาเตือนสตินักลงทุนว่าถ้าถึงเวลาขายก็ต้องขาย และโลกการตลาดหุ้นคือการเรียนรู้ที่ไม่สื้นสุด

สัญญาณเทคนิคมาต้องขาย

เป็นภาวะที่อยากจะเตือนน้องๆ ต้องอย่าประมาท เพราะจริงๆ สัญญาณขายมานานแล้วหรือตั้งแต่กว่า 1 ปีที่ผ่านมา แต่ทนอยู่ เพราะพยายามองโลกในแง่ดีและเข้าข้างตัวเองว่าจุดหนึ่งมันจะกลับไปได้ เพราะกราฟไม่เคยหลอกใคร ซึ่งปกติกราฟมันเสียต้องคิดไปในทางขายก่อนเป็นลำดับแรก และเวลาขาดทุนเป็นเรื่องปกติว่า ต้องหดหู่กันไป

หุ้นไทยตอนนี้คาดการณ์ยาก

เพราะข่าวสารข้อมูลเยอะไปหมด ขณะที่หุ้นขึ้นมาตลอด 10 ปี และเริ่มมีสัญญาณทางเศรษฐกิจออกมา 2 อย่าง โดยเดือนที่แล้วมีสัญญาณ Inverted Yield Curve เพราะเมื่อสัญญาณนี้มาเตือนจากสถิติในอดีต ภายใน 7-24 เดือน อาจจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และปีที่แล้วก็เกิด Inverted Yield และทำหุ้นตกไปครั้งหนึ่ง และพอหลังจากที่หุ้นกลับมาขึ้น พอเกิด Inverted Yield อีกครั้งหนึ่ง ทุกคนก็เริ่มเล่นอย่างระมัดระวัง และอีกสัญญาณหนึ่งคือการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพราะในอดีตเคยส่งสัญญาณไว้ว่า การปรับลดของอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหุ้นยังไม่ลงเพราะกลัวเศรษฐกิจไม่ดีเลยต้องฉีดยา พอลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 หุ้นจะเริ่มลง เพราะคนเริ่มกังวลและเกิดความไม่มั่นใจและอาจขายทำกำไร และที่ผ่านมาหุ้นหุ้นทั่วโลกก็ปรับขึ้นเpอะ แต่พอเกิดครั้งที่ 3 และ 4 จะเริ่มสัญญาณภาวะเศรษฐกิจถดถอย

“หุ้นไทยที่ผ่านมาก็ถือว่ามีการปรับขึ้นมาก ปัจจุบันอยู่ในระดับ 1,600 จุด ถือว่าอยู่ในระดับสูงเช่นกันเมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดของรอบที่แล้วที่ SET อยู่ประมาณ 300 จุด ซึ่งลงเร็ว 3-4 เดือน จาก 900 จุด ตอนนั้นมีวินัยมากเพราะถือเงินสดไว้ในมือตั้งแต่ SET อยู่ที่ 800 จุด ระหว่างทางก็คันมือมีเข้าไปซื้อทุกวัน เหมือนตอนนี้ก็ซื้อบ้างแต่พอหุ้นลงบ่อย ก็คิดว่าควรนั่งรอก่อนดีกว่าเพื่อรอเล่นรอบใหญ่”

ปัจจุบันถือว่าหุ้นไทยระดับ 1,612 จุด ยังถือเป็นกรอบล่าง เพราะกรอบเคลื่อนไหวจุดสูงสุดคือ 1,800 จุด และจุดต่ำสุดของ SET เดือนที่แล้ว 1,590 จุด แล้วก็เด้ง ซึ่งถ้าหลุดจุดต่ำสุดที่ 1,550 จุด ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดี เพราะฝั่งเทคนิคคอลถือเป็นสัญญาณที่ต้องขายหุ้น

ข่าวดียังมี

ทั้งจากฟิทซ์เรตติ้งและ S&P เมื่อเดือน ก.ค. ปรับมุมมองกับประเทศไทย ทั้งที่หายไปกว่า 10 ปี แต่ยังไม่ได้ปรับอันดับเครดิตประเทศไทย ซึ่งตอนนี้ต้องรอดู มูดีส์และ S&P อัพเกรดให้ประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ ก็ถือเป็นเรื่องของ Sentiment FundFlow ที่ก็มีโอกาสเทิร์นกลับมาได้

ปัจจัยที่ทำให้หุ้นแกว่ง

มาจากต่างประเทศปัจจัยหลักคือสงครามการค้า รวมถึงในประเทศที่มาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่ทำให้ส่งออกติดลบและเศรษฐกิจไทยชะลอตัว ตอนนี้ปัจจัยที่ทำให้หุ้นแกว่งไม่ใช่แค่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว ถ้ามาดูโครงสร้างของหุ้น เปรียบเสมือนห้องหนึ่งที่มีหลายกิจการที่เป็นธุรกิจเก่าซึ่งกำลังจะตาย กำลังจะเปลี่ยนแปลงหรือทรานฟอร์ม และกำลังเป็นทั่วโลกไม่ใช่แค่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียว เพราะตอนนี้ทุกอย่างเกี่ยวข้องไปหมด เช่น การอย่าใช้พลาสติก เลิกใช้ขวด อย่าใช้ถ่านหิน ราคาหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจเหล่านี้ก็ต้องปรับลง ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้ชีวิตแบบใหม่ ดังนั้นธุรกิจเก่าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกต่างก็ต้องได้รับผลกระทบใหม่ ซึ่งผู้ลงทุนก็ต้องดูด้วย

เทคนิคอลเป็นสัญญาณเตือนเสมอ

เชื่อว่าเทคนิคคอลจะเป็นตัวไกด์ไลน์เราเสมอ ที่ทำให้สายเทคนิคคิดก่อน และขายหุ้นออกมาก่อน แต่ถ้าไม่มีอะไรน่ากังวลกำไรไม่ตกก็มาซื้อกลับได้ แต่ตอนนี้ต้องดูสัญญาณทางเทคนิคหรือกราฟหุ้นให้ดี ขณะที่ผ่านมาหุ้นต่างประเทศก็ขึ้นมาเยอะ และหลายคนก็รู้สึกเหมือนกันว่าตอนนี้หุ้นไทยเล่นยาก แต่ก้ยังมองว่าหุ้นไทยยังไปข้างหน้าต่อได้

ทว่า อีกภาพหนึ่งหุ้นไทยก็ปรับขึ้นมาตลอด 10 ปี และตอนนี้เหมือนเป็นจุดพักที่เคยสูงสุดที่ระดับ 1,800 จุด เมื่อปี 2018 ซึ่งก็ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว ขณะที่ราคาทองคำเริ่มขยับ คนอาจจะไม่มั่นใจอย่างกรณียุโรปที่เศรษฐกิจไม่ดี คนก็เริ่มไปหาลงทุนสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า คนเริ่มพูด Negative Interest Rate ขณะที่ไทยก็หวังพึ่งฝรั่งซึ่งค่าเงินไทยแข็งค่าและฝรั่งหันไปซื้อพันธบัตรมากกว่า ก็หวังว่าถ้ามีการเพิ่มอันดับเครดิตประเทศยังจะเป็นข่าวดี พอให้มีเงินย้ายกลับเข้าตลาดหุ้นด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ควรติดตามข่าวสารใกล้ชิด เพราะข้อมูลทุกอย่างเชื่อมโยงหมด

ทางเทคนิคหุ้นไทยตอนนี้ทางทฤษฎีไม่น่าจะลงได้เกิน 38.2% หลังจากที่เคยใช้เวลา 10 ปีที่หุ้นขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,850  จุด ซึ่งการที่จะลงมา 1,300 จุดก็ได้ แต่ความจริงถือว่าลงไม่เยอะ แต่ความรู้สึกถือว่าลงเยอะ และโอกาสที่จะลงไปถึงระดับดังกล่าวก็มีโอกาส เพราะมีทั้งปัจจัย Inverted Yield Curve การลดอัตราดอกเบี้ย และเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว

ตอนนี้ยังไม่วิกฤต

ตอนวิกฤตซับไพรม์ SET ลงมาจาก 900 จุดยังไม่รู้ว่าวิกฤต แต่พอหุ้นลงมา 600 จุด คนเพิ่งจะเข้าใจว่านั้นคือวิกฤต เพราะเหมือนตอนนั้นเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย เหมือนกับการเอาใบจองคอนโดที่หนึ่งไปค้ำประกันอีกที่หนึ่งได้อย่างไร เปรียบเทียบเหมือนห้องนั้นซื้อขายใบจองกันเองขายใครไม่ได้ แต่ตอนต้มยำกุ้งรู้สึกคล้ายกับซับไพรม์ แต่ของเขาตัดปัญหาเร็ว แต่ไทยทำทุกอย่างดีมากใช้หนี้ทุบาททุกสตางค์ แต่พอถึงวิกฤตสหรัฐเขาอัพหนี้ไปเรื่อยแล้วเข้าสภาโหวต ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ทุนนิยมแบบสุดโต่ง

“ยืนยันว่าตลาดหุ้นเรียนอย่างไรไม่มีวันจบ และไม่มีใครรู้จริง ที่อยากแชร์พอร์ตเพราะอยากเตือนสติน้องๆ เพื่อความไม่ประมาท แต่ละคนนักลงทุนต้องดูต้นทุนตัวเอง หากจะเล่นบล็อกเทรดและมาร์จิ้นหรือกู้เงินมาเล่น มันเสี่ยงมากเพราะหุ้นไม่ได้ขึ้นตลอด แม้จะมีช่วงอัพเทรด แต่บางคนไปเล่นบล็อกเทรดในจังหวะที่ตลาดปรับลง ก็ต้องโดนฟอร์ซเซล ดังนั้น ต้องมีสติและดูตัวเอง ซึ่งตอนนี้ถ้ากราฟสวยก็มีโอกาสกลับมาซื้อ”

ทุกวิกฤตมีโอกาส

ทุกวิกฤตมันมีโอกาสจริง แต่ควรต้องไปคว้าโอกาสให้ได้ อย่าไปทำให้เกิดวิกฤตซ้ำ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่วิกฤต ตอนนี้กังวลแค่ว่าจะเริ่มวิกฤต และมองว่าไม่น่าจะเกิดจากไทย และยังไม่เห็นมีใครพูดถึงว่าจะวิกฤต แต่ตอนนี้สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ตอนปี 2018 มีแค่บีบี ยังไม่มีโซเชียลขนาดนี้ ที่มีหลายเพจแชร์ความสำเร็จให้เห็นกันหมด ตอนนี้อยากจะเตือนสติแล้วว่าอย่าประมาท และอย่ามองโลกในแง่ดีนัก

“เล่นหุ้นถ้ามองว่าเหมือนเกม ก็ต้องหาทางเอาชนะ ถึงตอนนี้หลักการที่ใช้มาตลอดการลงทุน และชนะแค่ 60-70% เอง ก็ถือว่าพอแล้ว แต่ที่ออกมาเตือนเพราะปล่อยให้มันขาดทุนลึกเกินไป คือขาดทุนไปกว่า 65% หรือมองอีกมุมหนึ่งก็มองว่าบางทีเราก็ต้องพลาดได้ เพราะตัวที่ขาดทุนไปคิดเป็น 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด อยากเตือนว่าอย่าประมาทเพราะส่วนใหญ่หลายคนโชว์ความสำเร็จมาเยอะ เพราะใครยังไม่เจอวิกฤต จะรู้ว่าวิกฤตมันมีจริง  ที่ผ่านมาที่เคยเจ็บหนักมาแล้ว ส่วนตัวผ่านวิกฤตมา 2 รอบ คือ ต้มยำกุ้งที่โดนไปเต็มๆ เลนยรู้ว่านรกมีจริง ปี 2008 เลยรอดเพราะระวัง แต่ปี 2018-2019 อาจระวังเกินไปเลยยังไม่เกิด”

อย่างไรก็ดี มองว่า ความจริงๆ หุ้นสามารถซื้อได้ทุกวันแต่ขายไม่ได้ทุกวัน เพราะเวลาจะขายต้องการขายตอนมีกำไร และปกติจิตวิทยาของแพงคนยิ่งชอบ ของถูกคนกลัวเพราะกลัวว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ ตอนนี้ส่วนตัวอาจจะเทรดยากขึ้น และคงถือยาวมากขึ้น แต่คงไม่ถึงข้ามปี แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ซื้อถูกตัวหรือเปล่า และตอนนี้ยังมีหุ้นพอร์ตอยู่ 20-30% และซื้อทองเก็บไว้ด้วย