HomeOn Radarsฮ่องกงดัน SET ขึ้นระยะสั้น แต่ระยะยาวยังถูกถ่วงจาก Trade War

ฮ่องกงดัน SET ขึ้นระยะสั้น แต่ระยะยาวยังถูกถ่วงจาก Trade War

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปิดแดนบวกที่ระดับ 1,658.64 จุด เพิ่มขึ้น 16.39 จุด หรือ 1 % ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดหุ้นฮ่องกงที่ดีดขึ้น 3.90 % รับข่าว หลังจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ รายงานว่า นางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เตรียมประกาศการถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนอย่างเป็นทางการ

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส เปิดเผยว่า หุ้นไทยเป็นการตอบรับในเชิงบวกทางจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากประเด็นของความขัดแย้งหลักอยู่ที่สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน

“ตลอดเกือบ 14 สัปดาห์ ที่มีการชุมนุมประท้วงที่ฮ่องกง ดัชนีหุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกง ลดลง 15-16 % ซึ่งเทียบกับไทยไม่ถึง 7 % โดยถือว่ามีการปรับลงหรือสงผลกระทบกับ SET ที่น้อย เพราะความเสี่ยงหลักอยู่ที่ประเด็น Trade War พรุ่งนี้ (5 ก.ย.) มองว่าหุ้นไทยก็มีโอกาสมีแรงขายทำกำไรออกมาได้อีก เพราะภาพใหญ่ยังต้องรอดูการเจรจาสหรัฐกับจีน ให้แนวรับที่ 1,650 จุด และแนวต้าน 1,667 จุด กลยุทธ์ลงทุนต้องเลือกเป็นรายตัวเท่านั้น”

เช่นเดียวกับ นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ที่มองว่า ประเด็นฮ่องกงมีผลต่อ SET วันนี้ชัดเจน แต่จะส่งผลแต่ระยะสั้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ การที่เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนแล้ว จากดัชนีภาคการผลิต (PMI) ของสหรัฐหลายตัวเริ่มปรับลดลงมาก และอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 จุด ขณะที่ของจีนเองก็มีอยู่ในระัดบแนว บวกลบ 50 จุดเช่นกัน

ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนตอนนี้คือ ต้องดูจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมากกว่าที่จะดูกระแสเม็ดเงินไหลเข้าออก เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดีจริง เมื่อมีปัจจัยระยะสั้นเข้ามาก็มีผลต่อดัชนีก็มีการปรับขึ้นหรือลงก็ได้ แต่ก็เป็นไปตามทิศทางหุ้นขาลง เช่นเดียวกัน ถ้าเศรษฐกิจดีจริง เมื่อมีปัจจัยระยะสั้นเข้ามาก็มีผลต่อดัชนีก็มีการปรับขึ้นหรือลงก็ได้ แต่ก็เป็นไปตามทิศทางหุ้นขาขึ้น

แต่การที่หุ้นปรับลงหรือเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ลงทุนอาจจะถือเงินสดมากขึ้น แต่ก็ยังสามารถถือหุ้นได้ 50 % ของพอร์ตโดยรวม ผู้ลงทุนไม่ถึงกับต้องลดพอร์ตหุ้นเหลือ 20 % แต่ให้เลือกหุ้นทีี่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ หรือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาธารณูปโภค หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพราะไม่ได้มีแรงเหวี่ยงมากตามเศรษฐกิจ เหมือนหุ้นกลุ่มอื่น