HomeOn Radarsบล.ไทยพาณิชย์ ชี้หุ้นลงแนะเก็บ Defensive-Dividend-อิงนโยบายรัฐ

บล.ไทยพาณิชย์ ชี้หุ้นลงแนะเก็บ Defensive-Dividend-อิงนโยบายรัฐ

หลังจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นทั่วโลกเจอนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างเซอร์ไพรส์อีกรอบเพราะทวีตข้อความว่า เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจีนอีก  3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่เหลืออีก 10 % ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ เมื่อรวมกับปัจจัยลบที่เพิ่งเกิดไม่นานที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำนักลงทุนผิดหวังว่าอาจจะไม่มีการลดดอกเบี้ยในครั้งต่อไป และดูเหมือนนักลงทุนในประเทศอาจจะตกใจกลัวเหมือนปัจจัยลบถูกกระหน่ำต่อ จากสถานการณ์มีการวางระเบิดในกรุงเทพหลายจุด

  • “สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ ให้มุมมองว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างก็ให้น้ำหนักเรื่องนี้มากกว่าเรื่องการก่อสถานการณ์เหตุระเบิดในกรุงเทพ แต่หากวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. นี้ ดัชนีหุ้นไทย ยังลงไปแนวรับระดับ 1,680 จุด พร้อมกับช่วงระยะเวลาปัจจุบันจนถึงเดือน ก.ย. ที่ต้องรอดูว่าสหรัฐจะมีการดำเนินการกับจีนจริงอย่างที่ทรัมป์ได้ทวีตหรือไม่ ก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ดัชนีทั่วโลกมีความผันผวนต่อเนื่องจากผลกระทบสงครามทางการค้าของสหรัฐกับจีนอยู่ ดังนั้น กลยุทธ์ที่แนะนำตอนนี้คือ เก็บหุ้นใน 3 ธีมหลัก คือ
  • หุ้นประเภท Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อสภาวะตลาดในทุกสภาพ ไม่ว่าตลาดจะดีหรือแย่ ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่พื้นฐานแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ แต่กำไรอาจไม่ได้เติบโตหรือหวือหวา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปาเป็นหลัก
  • หุ้น Dividend เนื่องจากระดับราคาหุ้นปัจจุบันนี้ จะมีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ไม่สูงมาก และถือว่าไม่ได้แพงกว่าเพื่อนบ้าน ก็เป็นจังหวะที่รอเข้าไปเก็บหุ้นที่คาดว่าจะมีการประกาศจ่ายปันผล โดยเฉพาะกอง REITs ซึ่งปกติจะมีการจ่ายอัตราผลตอบแทนสูง
  • นโยบายภาครัฐที่ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่าหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการบริโภคน่าจะยังคงได้ประโยชน์จากที่รัฐบาลต้องรีบกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะจะเร็วกว่าที่จะไปเร่งในเรื่องของภาคการลงทุนในเรียลเซ็กเตอร์ ซึ่งแม้การพิจารณางบประมาณประจำปี 2563 อาจจะมีการล่าช้าออกไป แต่เชื่อว่าเพราะช่วงเริ่มต้นการบริหารงาน น่าจะมีนโยบายเร่งด่วนออกมาก่อน

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,684.71 ลดลง 15.04 จุด หรือ 0.88 % มูลค่าการซื้อขาย 82,045.40 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติเทขายกว่า 3,632.21 ล้านบาท ตามด้วยกองทุนแห่ขาย 1,598.60 ล้านบาท และบัญชีโบรกเกอร์ขาย 550.73 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยทุ่มซื้อ 5,781.53  ล้านบาท